พรหมลิขิตให้มาเป็นหมอเชียงใหม่ในเมลเบอร์น

กรกฎาคม 16, 2007 เวลา 1:00 am | เขียนใน Uncategorized | ใส่ความเห็น

คุณเชื่อมั๊ยว่าพรหมลิขิตมีจริง ฉันเป็นคนหนึ่งที่เชื่อ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้เป็นหมอ มาพบคุณสามี และมาทำงานในเมลเบอร์นแน่ๆ ฉันจบแพทย์ศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นับจำนวนปีที่จบมาได้เกือบครบทุกนิ้วแล้ว ตอนจบใหม่ๆก็ไม่ได้คิดที่จะเรียนต่อหรืออยู่ต่างประเทศแต่อย่างใด แต่มาวันนี้ฉันทำงานเป็นหมอที่เมลเบอร์นได้เกือบสองปีแล้ว และกำลังจะเรียนต่อ General Practice หรือแพทย์ทั่วไปในเร็วๆนี้ ชีวิตถูกลิขิตไว้จริงๆ

ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นหมอไทยรุ่นบุกเบิกที่มาผ่านข้อสอบ AMC (Australian Medical Council) หรือข้อสอบเพื่อใบประกอบโรคศิลป์ของแพทย์สภาแห่งประเทศออสเตรเลีย และทำงานที่นี่ ไม่นับรวมหมอไทยที่มาเรียนต่อคอร์สสั้นๆ ปริญญาโทหรือเอก หรือมาดูงานที่นี่ เป็นเพราะหมอไทยส่วนมากจะไปเรียนต่อที่อเมริกากัน ข้อมูลการมาเป็นหมอทางนี้เลยน้อย ฉันเองมีคนถามอยู่เสมอๆ รวมทั้งเห็นคนไปโพสต์ถามที่ www.thaiclinic.com เป็นระยะๆ อีกทั้งฉันเบื่อเหลือเกินเวลาที่หมอไทยหลายๆคนชอบพูดว่า “มาออสเตรเลียง่ายจะตาย ใครๆก็มากัน” แต่แปลกดีที่ทำงานมาซักพักไม่เคยเจอหมอไทยในที่ทำงานเลย นอกเสียจากหมอไทยที่มาเรียนต่อปริญญาเอก เพื่อนและน้องหมอที่ผ่าน AMC หลังจากฉัน (2-3 คนได้) ของอย่างนี้ ไม่ลองไม่รู้จริงๆ อ่านแล้วจะรู้ว่าไม่ง่ายหรอกนะขอบอก

ใจจริงฉันอยากเรียนอะไรที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจมากกว่า แต่เหมือนพรหมลิขิตขีดให้มาเป็นหมอ สมัยสอบเทียบผ่านฉันเลือกแต่บริหารฯกับบัญชีของจุฬาหรือธรรมศาสตร์ปรากฎว่าฉันเอ็นท์ไม่ติดทั้งที่มั่นใจนักหนาว่าติดแน่ๆ สมัยสอบโควต้าฉันเลือกหมออันดับหนึ่งให้มามี้สุดที่รักของฉัน แล้วเลือกวิศวะให้ตัวเอง ตอนประกาศผลฉันเองมั่นใจมากว่าติดวิศวะชัวร์ (ชัวร์ขนาดไม่ไปดูผลสอบ) ปรากฎว่าเพื่อนโทรมาบอกว่า เฮ้ย ติดหมอ ดีใจจังจะได้เรียนด้วยกัน ไอ้ตัวฉันก็เซ็งเลยในขณะที่มามี้ดีใจหน้าบาน

สมัยเป็นนศพ. ฉันก็ขี้เกียจมั่กมาก เพื่อนสนิทจะรู้ดีว่ากินกับนอนเป็นกิจวัตร นั่งหน้าแถวในห้องเล็กเชอร์ ซีร่าเธอก็หลับได้หน้าตาเฉย ใครๆจะอ่านหนังสือโต้รุ่ง ดิฉันรึก็นอนโต้รุ่งเหมือนกัน คะแนนสอบออกมาฉันก็เป็นพวกตะกายมีน (เกือบผ่านหรือผ่านเฉียดฉิว) ตลอด แต่สุดท้ายก็จบ พบ.มาได้ แหม ใครก็คงไม่ถามหรอกนะว่า หมอได้เกรดเท่าไหร่สมัยเรียน ถึงฉันจะไม่เก่งเรื่องการเรียน แต่ในเรื่องการทำงานนั้นฉันมั่นใจว่าฉันทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ก็แหม คนมันรู้ตัวว่าความรู้ไม่แข็งแรง ก็อาศัยความขยันก็แล้วกัน

ตอนที่ฉันจบเป็น พญ.นั้น เป็นช่วงที่วิกฤตเศรษฐกิจ วิศวะและสาขาอาชีพอื่นๆอีกหลายสาขาอาชีพต้องไปวิจัยฝุ่นหรือเรียนต่อกัน ในขณะที่หมอจบมายังไงก็มีงานทำ ฉันนึกย้อนกลับไปแล้วก็ต้องยกความดีให้มามี้ที่ผลักดันให้ฉันเข้าสู่วงการแพทย์ได้สำเร็จ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องงานหรือเรียนต่อเหมือนเพื่อนหลายๆคน แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คงจะขยันเรียนมากกว่านั้น ยิ่งทำงานในออสเตรเลีย ยิ่งรู้สึกว่า ความรู้เบสิกต่างๆนี่สำคัญ หมอที่นี่ชอบถกเถียง ชอบบลั๊ฟกัน (แต่ไม่ค่อยลงมือทำ)  ถ้าฉันความรู้แข็งแรงกว่านี้คงได้ร่วมวงถกมากกว่านี้ ทั้งๆที่ว่าไปแล้วพวกหมอเก่งๆที่นี่ยังไม่เห็นเก่งเท่าพวกหัวกะทิของรุ่นเราที่มช.เลย

สมัยเป็นนศพ.ก็เห็นมีพี่เด้นท์ (แพทย์ใช้ทุนหรือแพทย์ประจำบ้าน)หลายคนหนีไปอเมริกาตอนเป็น เด้นท์เหมด(อายุรศาสตร์) ปีสองหรือสาม พวกนศพ.จากกรุงเทพฯก็เตรียมสอบ USMLE (ข้อสอบไปเรียนต่อที่อเมริกา) กันตั้งแต่ปีสี่ปีห้า ไอ้ฉันเองอยู่เชียงใหม่ไม่เคยคิดจะเรียนต่อ ไม่รักความก้าวหน้าไม่ได้คิดเตรียมตัวอะไร จนวันที่เรียนจบ ทำงานซักพัก แล้วตัดสินใจว่าเอาล่ะ หนูจะเป็นหมอ skin ค่ะ เพราะรักสวยรักงามเป็นทุน ฉันค้นหาข้อมูลและติดต่อ U of Cardiff ไว้เรียบร้อย แต่ด้วยข้อกำหนดที่ว่า ต้องสอบภาษาอังกฤษ IELTS ให้ได้ 7  ตอนนั้นคิดว่าไหนๆก็จะไปเรียนต่อ ขอพักสมองท่องเที่ยวและเรียนภาษาติวเข้มเพื่อสอบ IELTS ที่เมลเบอร์นเลยดีกว่า เรียนภาษาได้ 10 weeks สอบ IELTS ได้ 7 แล้ว แต่ดันมาตกหลุมรักเมืองๆนี้ ประจวบกับพี่ร่วมรุ่นแพทย์เชียงใหม่บอกว่ามีลู่ทางมาทำงานที่ออสเตรเลียได้ไม่ยาก (อย่างที่เกริ่นไว้ ไม่ลองไม่รู้จริงๆ) แผนการไปเวลส์เพื่อ skin training ก็ต้องมีอันล้มพับไป

ตอนนั้น ฉันไม่รู้จริงๆว่าการเริ่มต้นที่สวยหรูกำลังจะมีอันเปลี่ยนแปลงไปในไม่ช้า 

ให้ความเห็น »

RSS feed for comments on this post. TrackBack URI

ใส่ความเห็น

บลอกที่ WordPress.com .
Entries และ ข้อคิดเห็น feeds.